Artificial intelligence will ‘revolutionize’ pharma industry, Nvidia says

Nvidia ผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก ประกาศวิสัยทัศน์สุดล้ำในสัปดาห์นี้ว่า ปัญญาประดิษฐ์จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเภสัชกรรม พร้อมเปิดตัวโครงการนำร่องร่วมกับ Novo Nordisk บริษัทยาชั้นนำจากเดนมาร์ก ในการใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อพัฒนาวงการเภสัชกรรม

Artificial intelligence will “revolutionize” the process by which drugs are discovered, chip giant Nvidia said this week, after unveiling a pilot project for Danish drugmaker Novo Nordisk to use its new AI-powered supercomputer.

Nvidia ชี้ปัญญาประดิษฐ์พลิกโฉมวงการเภสัชกรรมครั้งใหญ่

Nvidia ผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก ประกาศวิสัยทัศน์สุดล้ำในสัปดาห์นี้ว่า ปัญญาประดิษฐ์จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเภสัชกรรม พร้อมเปิดตัวโครงการนำร่องร่วมกับ Novo Nordisk บริษัทยาชั้นนำจากเดนมาร์ก ในการใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อพัฒนาวงการเภสัชกรรม

Jensen Huang ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nvidia กล่าวในงานเปิดตัวว่า “การค้นพบยาด้วยระบบคอมพิวเตอร์จะสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้วงการนี้” โดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI เพื่อพัฒนาการออกแบบวัคซีนและวิเคราะห์การกลายพันธุ์ของโรค ตามรายงานของ Bloomberg

เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องสร้างความตื่นตัวให้วงการยาด้วยศักยภาพอันน่าทึ่ง โดยสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้นับล้านรูปแบบในการปรับใช้ยาเดิมเพื่อรักษาโรคใหม่ ทดแทนการทดลองในห้องปฏิบัติการที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน

ความสำเร็จที่โดดเด่นในวงการนี้คือซอฟต์แวร์ AlphaFold ของ Google DeepMind ที่สามารถทำนายโครงสร้างและปฏิสัมพันธ์ระดับโมเลกุล ซึ่งแต่เดิมเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลายาวนาน โดยผู้คิดค้นนวัตกรรมนี้ได้รับการยกย่องด้วยรางวัลโนเบลสาขาเคมีในเดือนนี้

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตา

ความรวดเร็วและประหยัดต้นทุน: จุดเปลี่ยนสำคัญในการค้นพบยา

ที่มา: JAMA, MIT Technology Review

การนำ AI มาใช้ในการค้นพบยาเปิดมิติใหม่ด้านความรวดเร็วและความคุ้มค่า จากเดิมที่การพัฒนายาใหม่หนึ่งตัวต้องใช้งบประมาณมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าจะถึงมือผู้บริโภค ตามการศึกษาในปี 2563 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA ทว่า AI มีศักยภาพที่จะย่นระยะเวลานี้ให้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการใช้โมเดลการเรียนรู้ของเครื่องที่สามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาล คาดการณ์ผลกระทบของสารประกอบต่อร่างกาย และคัดกรองตัวยาที่ไม่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ขั้นตอนการจำลองในคอมพิวเตอร์ แทนที่การทดลองในห้องปฏิบัติการแบบดั้งเดิม MIT Technology Review รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนักวิจัยที่ระบุว่า “AI กำลังทำหน้าที่แทนกระบวนการที่เราเคยทำด้วยมือทีละขั้นตอน”

ความท้าทายในการพิสูจน์ประสิทธิภาพ

ความท้าทายสำคัญของบริษัทยาที่นำ AI มาใช้คือการพิสูจน์ว่ายาที่พัฒนาด้วยวิธีนี้มีประสิทธิภาพจริงในการรักษาผู้ป่วย Bloomberg รายงาน แม้ว่าขณะนี้มีการทดลองทางคลินิกในมนุษย์บางส่วนแล้ว แต่ผลกระทบที่แท้จริงต่ออุตสาหกรรมยาจะประเมินได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลเชิงประจักษ์มากขึ้น นักฟิสิกส์ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านการเรียนรู้ของเครื่องทางชีวภาพให้ข้อคิดว่า “บางครั้งเมื่อเปิดประตูออกไป อาจพบว่าไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง” พร้อมย้ำว่า AI ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง”

ข้อห่วงใยด้านจริยธรรม: โจทย์ที่ท้าทายวงการยา

การใช้ AI ในการพัฒนายายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น พร้อมกับความท้าทายด้านจริยธรรมที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ บล็อก Stanford Medicine’s Scope ชี้ประเด็นสำคัญหลายด้าน อาทิ อคติในอัลกอริธึมที่เกี่ยวข้องกับเพศ เชื้อชาติ และรสนิยมทางเพศ ผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้จากการใช้ AI โดยปราศจากการกำกับดูแลจากมนุษย์ และความยากลำบากในการทำซ้ำผลการทดลองทางคลินิกเมื่อใช้โมเดล AI อย่างไม่ถูกต้อง 

นอกจากนี้ ความเป็นส่วนตัวยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากระบบ AI ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมหาศาลซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ โดยเฉพาะข้อมูลด้านสุขภาพที่มีความอ่อนไหวสูง การศึกษาในวารสาร Pharmaceuticals เสนอแนะว่า การลดอคติในอัลกอริธึมและการปกป้องความเป็นส่วนตัวควรเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้

view original*